บริษัทต้องการจะยกเลิกบัตรส่งเสริม เข้าใจว่าต้องไปยื่นเสียค่าอากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับเครื่องจักรที่นำเข้ามาไม่ถึง 5 ปี ที่กรมศุลกากรก่อน (ไม่ต้องชำระเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่ม เนื่องจากได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการแล้ว)
ตัวอย่าง เครื่องจักร มูลค่า 500,000 บาท อากร 10% นำเข้ามาใช้แล้ว 4 ปี
วิธีที่ 1 ค่าอากร 500,000 * 10% * 12/60 = 10,000
ค่า VAT ( 500,000 + 10,000 ) * 7% = 35,700
วิธีที่ 2 ค่าอากร 500,000 * 10% * 12/60 = 10,000
ค่า VAT ( 500,000 + 50,000 ) * 7% = 38,500
จะเห็นได้ว่า วิธีการคำนวณแตกต่างกันตรง ฐานภาษี ที่นำไปคำนวณ VAT
ขอคำแนะนำด้วยค่ะ ว่าวิธีใดถูกต้อง
คุณจิตราภรณ์
บริษัทได้รับอนุญาตเปิดดำเนินการแล้ว
ดังนั้น หากจะยกเลิกบัตรส่งเสริม จะมีภาระภาษีอากรตามสภาพ สำหรับเครื่องจักรที่นำเข้ามายังไม่ครบ 5 ปี
โดย BOI จะให้บริษัทไปชำระภาษีเครื่องจักรที่นำเข้ายังไม่ครบ 5 ปี และตัดบัญชีเครื่องจักรให้เสร็จสิ้นก่อน จากนั้นจึงจะดำเนินการยกเลิกบัตรส่งเสริมต่อไป
การชำระภาษีเครื่องจักรที่นำเข้ายังไม่ครบ 5 ปี และไม่ได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไข จะมีภาระภาษีตามสภาพ ณ วันที่ BOI อนุญาตให้ไปชำระภาษี
เช่น หากเครื่องจักรมูลค่า 500,000 บาท อากรขาเข้า 10% นำเข้ามาแล้ว 4 ปี
มูลค่าเครื่องจักรตามสภาพ = 500,000 x 1 / 5 = 100,000 บาท
จึงมีภาระภาษีอากรที่จะต้องชำระดังนี้
อากรขาเข้าที่จะต้องชำระ = มูลค่าเครื่องจักรตามสภาพ x อัตราอากรขาเข้า ณ ปัจจุบัน = 100,000 x 10% = 10,000 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะต้องชำระ = (มูลค่าเครื่องจักรตามสภาพ + อากรขาเข้า) x VAT = (100,000 + 10,000) x 7% = 7,700 บาท
เนื่องจาก BOI เป็นเพียงผู้แจ้งให้กรมศุลกากรเรียกเก็บภาษีอากรตามสภาพ
แต่ผู้ที่จะประเมินและเรียกเก็บภาษีอากรคือกรมศุลกากร
ดังนั้น จึงควรติดต่อสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือกรมศุลกากรอีกทางหนึ่งด้วยครับ
ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ยื่นเปิดดำเนินการไปแล้ว แต่ติดปัญหาเนื่องจากบริษัทฯ ใช้สิทธิ์ขออนุมัติสั่งปล่อยเครื่องจักรมากกว่าจำนวนที่ติดตั้งจริงในโครงการ
ดังนั้นในส่วนที่เกิน บริษัทฯ จึงขอชำระภาษีอากร ผ่านระบบ EMT และได้รับอนุมัติเรียบร้อยแล้วค่ะ
คำถามคือ ขั้นตอนต่อจากนี้ บริษัทฯ ต้องดำเนินการอย่างไรบ้างคะ
บริษัทนำเข้าเครื่องจักรโดยใช้สิทธิยกเว้นอากรขาเข้า มากกว่าจำนวนเครื่องจักรที่ติดตั้งอยู่จริง
ดังนั้น เครื่องจักรที่ไม่ได้ติดตั้งอยู่จริง จึงเป็นเครื่องที่ใช้สิทธิผิดเงื่อนไขในบัตรส่งเสริม และมีภาระต้องชำระภาษีอากรตามสภาพ ณ วันที่นำเข้า และเบี้ยปรับ VAT
ขั้นตอนคือเมื่อได้รับอนุญาตจาก BOI ให้ชำระภาษีแล้ว ให้ติดต่อกรมศุลกากรเพื่อขอชำระภาษีอากร
หลังจากชำระภาษีเสร็จสิ้นแล้ว ให้ยื่นตัดบัญชีเครื่องจักรในระบบ EMT ต่อไป ครับ
ขอบคุณค่ะ
เรียน แอดมิน
รบกวนสอบถาม บริษัท ได้ครบกำหนดยื่นขออนุญาตเปิดดำเนินการ วันที่ 23/01/2566 ซึ่งบริษัท ไม่ประสงค์จะยื่นขอเปิดดำเนินการ และจะขอยกเลิกบัตรส่งเสริมจากการตรวจสอบสิทธิประโยช๋ที่ใช้ คือ ยกเว้นภาษีอากรนำเข้าเครื่องจักร เมื่อวันที่ 18/01/2566 ซึ่งเครื่องจักรยังไม่ครบ 5 ปี
1. ไม่ทราบว่าบริษัท ผิดเงื่อนไขของ BOI หรือไม่เนื่องจากไม่ยื่นขอเปิดดำเนินการ
2. บริษัทฯเจอเบี้ยปรับ 1 เท่าหรือไม่ค่ะ
เครื่องจักรนำเข้าวันที่ 18/03/2562 เครื่องจักรครบกำหนด 4 ปี มูลค่าเครื่องจักร = 12,081,396.07 อากร = 0% Vat = 845,697.72
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะต้องชำระ (12,081,396.07 x 7% = 845,697.72 บาท
เบี้ยปรับ 1 เท่า = 845,697.72 บาท
รวมชำระภาษี = 845,697.72+845,697.72 = 1,691,395.44
ขอบคุณมากค่ะ
1. ในส่วนของ BOI
การยกเลิกโครงการ โดยไม่เปิดดำเนินการ เป็นการผิดเงื่อนไขในการให้การส่งเสริม
ซึ่งจะถือเสมือนการไม่ได้รับส่งเสริมตั้งแต่ต้น และจะต้องชำระภาษีอากรขาเข้าเครื่องจักร ตามสภาพ ณ วันนำเข้า
2. การคำนวณอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม
ควรตรวจสอบกับกรมสรรพากร หรือกรณีนี้ตรวจสอบกับกรมศุลกากรซึ่งจะเป็นผู้เรียกเก็บอากรและภาษีมูลค่าเพิ่มแทนกรมสรรพากร
(ตามความเข้าใจของแอดมินคือ ต้องชำระอากรขาเข้า ตามมูลค่า ณ วันนำเข้า (ไม่มีเงินเพิ่มหรือเบี้ยปรับ)
ส่วน vat จะมีเบี้ยปรับ 1 เท่า และเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือน นับจากวันที่นำเข้า ถึงวันที่กรมศุลกากรแจ้งการประเมินและเรียกเก็บภาษี ครับ)
เรีบน แอดมิน
ขอบคุณมากค่ะ
เรียน แอดมิน
1. บัตรส่งเสริม เปิดดำเนินการแล้ว สิทธิภาษีเงินได้ใช้ครบตามวงเงินแล้ว
2. เครื่องจักร นำเข้ามาเกิน 5 ปี ตัดจำหน่ายโดยไม่มีภาระภาษี ทุกต้วแล้ว (เป็นอุปกรณ์ที่ประกอบอยู่ในห้องคลีนรูม)
3. วัตถุดิบเคลียร์สต๊อคคงเหลือเป็น 0 แล้ว
อยากสอบถาม ดังนี้
1. หากยกเลิกบัตรส่งเสริมเรียบร้อยแล้ว เครื่องจักรที่ตัดจำหน่ายแล้ว สามารถใช้กับโครงการอื่นได้หรือไม่ อย่างไร เนื่องจาก เครื่องจักรดังกล่าว เป็นอุปกรณ์ที่ประกอบใช้ในห้องคลีนรูมไม่สามารถจะรื้อออกได้ เพราะห้องคลีนรูมนี้ ใช้ร่วมกัน 2 โครงการ (แบ่งครึ่งการใช้) อีกโครงการนึงก็ยังใช้งานอยู่
2. ผลิตภัณฑ์สำหรับบัตรส่งเสริมนี้ ลูกค้าในปัจจุบันมีออเดอร์ให้ผลิตถึงแค่สิ้นปี 2566 เท่านั้น จะไม่มีออเดอร์อีก การยกเลิกบัตรส่งเสริม กับ การเก็บบัตรส่งเสริมไว้ก่อน มีข้อดีข้อเสีย หรือมีผลกระทบอะไรกับบริษัทหรือไม่
ขอบคุณค่ะ
ข้อเท็จจริงคือ บริษัทมี 2 บัตรส่งเสริม โดยมีการใช้ห้องคลีนรูนร่วมกัน (แบ่งพื้นที่ใช้งาน)
และบริษัทจะยกเลิกบัตรที่ 1 จึงขอจำหน่ายอุปกรณ์ที่ประกอบเป็นห้องคลีนรูน
ขอข้อมูลเพิ่มเติมว่า
1. อุปกรณ์ที่ประกอบเป็นห้องคลีนรูน นำเข้ามาโดยใช้สิทธิยกเว้นภาษี ตามบัตรที่ 1 หรือบัตรที่ 2 หรือทั้งสองบัตร
2. บริษัทนำค่าก่อสร้างห้องคลีนรูม ไปคำนวณเป็นมูลค่าการลงทุนของบัตรที่ 1 หรือบัตรที่ 2 หรือปันส่วนตามพื้นที่ใช้งานหรืออื่นๆ ครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม ตามตัวหนังสือสีน้ำเงินค่ะ
ข้อเท็จจริงคือ บริษัทมี 2 บัตรส่งเสริม โดยมีการใช้ห้องคลีนรูนร่วมกัน (แบ่งพื้นที่ใช้งาน)
และบริษัทจะยกเลิกบัตรที่ 1 จึงขอจำหน่ายอุปกรณ์ที่ประกอบเป็นห้องคลีนรูน
ขอข้อมูลเพิ่มเติมว่า
1. อุปกรณ์ที่ประกอบเป็นห้องคลีนรูน นำเข้ามาโดยใช้สิทธิยกเว้นภาษี ตามบัตรที่ 1 หรือบัตรที่ 2 หรือทั้งสองบัตร
นำเข้าโดยใช้สิทธิยกเว้นอากรขาเข้า ทั้ง 2 บัตร , บัตร 1 ตัดจำหน่ายไม่มีภาระภาษี (วางแผนยกเลิก) บัตรที่ 2 ตัดบัญชี 5 ปี แล้ว
2. บริษัทนำค่าก่อสร้างห้องคลีนรูม ไปคำนวณเป็นมูลค่าการลงทุนของบัตรที่ 1 หรือบัตรที่ 2 หรือปันส่วนตามพื้นที่ใช้งานหรืออื่นๆ ครับ
นำไปรวมเป็น cap ทั้ง 2 บัตร โดยแชร์เงินลงทุนตามส่วนการใช้งาน ซึ่งเท่ากับมูลค่าในอินวอยซ์ที่นำเข้าเครื่องจักรแต่ละบัตรส่งเสริม
ขออธิบายหลักการดังนี้
1. กรณีใช้อาคาร สิ่งปลูกสร้าง ร่วมกันระหว่าง 2 โครงการ
ปกติจะให้นับเป็นมูลค่าการลงทุนของโครงการแรก
แต่บริษัทสามารถขอปันสัดส่วนมูลค่าการลงทุนของค่าก่อสร้างได้ เช่น ตามพื้นที่ใช้งานจริง
หรือสามารถขอนำค่าก่อสร้างส่วนขยาย มานับเป็นค่าก่อสร้างของโครงการที่ 2 ได้ ตามข้อเท็จจริง
2. กรณีเครื่องจักร
BOI อาจอนุญาตให้ใช้เครื่องจักรร่วมกันได้
แต่ไม่อนุญาตให้ปันส่วนค่าเครื่องจักร ร่วมกันระหว่าง 2 โครงการ
3. กรณีห้องคลีนรูน
3.1 ส่วนที่เป็นค่าก่อสร้าง
ปกติควรนับเป็นค่าก่อสร้างของบัตรที่ 1 หรือบริษัทจะขอปันส่วนมูลค่าก่อสร้างตามพื้นที่ใช้งานจริงก็ได้ ตามข้อ 1
3.2 ส่วนที่เป็นอุปกรณ์/ส่วนประกอบของห้องคลีนรูน ซึ่งขอสั่งปล่อยในข่ายเครื่องจักร
ควรใช้สิทธิตามบัตรประธาน (บัตรที่ 1) เท่านั้น
4. บริษัทสามารถขออนุญาตให้ห้องคลีนรูนร่วมกันระหว่างโครงการที่ 1 และ 2 ได้
ยกเว้น กรณีเป็นสาระสำคัญของโครงการ ซึ่งต้องพิจารณาเป็นกรณีๆไป
5. กรณียกเลิกโครงการที่ 1
หากบริษัทได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องคลีนรูนร่วมกัน (ตามข้อ 4)
บริษัทสามารถขอโอนเครื่องจักร (อุปกรณ์/ส่วนประกอบของห้องคลีนรูน) จากโครงการที่ 1 ไปยังโครงการที่ 2 ได้
6. ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้คือ
บริษัทได้รับอนุมัติจำหน่ายอุปกรณ์/ส่วนประกอบของห้องคลีนรูน ที่นำเข้าโดยใช้สิทธิของบัตรที่ 1 แล้ว
แต่เป็นส่วนประกอบที่ยังจำเป็นต้องใช้ในห้องคลีนรูน ซึ่งต้องใช้งานในบัตรที่ 2
จะถือว่าอุปกรณ์เหล่านั้นมีสถานะอย่างไร
จำเป็นต้องโอนอุปกรณ์เหล่านั้นจากโครงการที่ 1 มายังโครงการที่ 2 เพื่อให้มีสถานะสมบูรณ์หรือไม่
ความเห็นของแอดมินคือ บริษัทอาจจะใช้สิทธิเครื่องจักรผิดพลาด
คือมีการขออนุมัติส่วนประกอบของห้องคลีนรูน ทั้งในบัตรที่ 1 และบัตรที่ 2
แทนที่จะขออนุมัติเฉพาะในบัตรที่ 1 เพียงบัตรเดียว (พร้อมกับขออนุญาตใช้ร่วมกันระหว่างบัตรที่ 1 และ 2)
จึงทำให้เกิดปัญหา เมื่อมีการยกเลิกบัตรที่ 1
เนื่องจากอุปกรณ์/ส่วนประกอบเหล่านั้น ยังจำเป็นต้องใช้ในห้องคลีนรูน ซึ่งต้องใช้ในบัตรที่ 2
จึงควรจะต้องโอนอุปกรณ์เหล่านั้นจากบัตรที่ 1 มายังบัตรที่ 2 หรือไม่?
เบื้องต้นแนะนำว่า
บริษัทอาจจะต้องปรึกษากับ จนท ผู้รับผิดชอบโครงการของบริษัทโดยตรง
โดย จนท อาจมีความเห็นหรือคำแนะนำอื่นก็ได้ครับ
ตอบคำถามเพิ่มเติม
การยกเลิกบัตร ควรดำเนินการหลังจากตัดบัญชีเครื่องจักรและวัตถุดิบเสร็จสิ้นแล้ว จะปลอดภัยกว่า
รวมถึงในกรณีที่เป็นคำถามสอบถาม
หาก จนท เห็นว่าควรโอนส่วนประกอบของห้องคลีนรูม (ซึ่งใช้ร่วมกันระหว่างบัตรที่ 1 และ 2) จากบัตรที่ 1 ไปยังบัตรที่ 2
ก็จะได้ดำเนินการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อน
สรุปคือ การยกเลิกบัตร ควรดำเนินการเป็นขั้นตอนสุดท้าย จนกว่าไม่มีเรื่องอื่นที่ต้องดำเนินการอีกแล้ว ครับ
ขอบคุณมากๆ ค่ะ ยังไงจะขอคอนเฟิมจากเจ้าหน้าที่ที่ดูแลโครงการอีกครั้งหนึ่งเพื่อความถูกต้องชัดเจน ตามที่ Admin ได้แนะนำมาค่ะ